วันพฤหัสบดีที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ภูสอยดาวสุดโหด

ดวงดาวที่เอื้อมถึง...ที่นี่ภูสอยดาว
                “ภูสอยดาวสถานที่ ที่ได้ยินชื่อแล้วชวนให้วาดฝันว่าจะต้องปีนขึ้นไปเก็บดาวหลายๆดวง บนท้องฟ้านั้น มาใส่กระเป๋ากลับไปดูเล่นในวันทำงานอันแสนวุ่นวายของเมืองกรุงให้จนได้ นั่นคือจุดเริ่มต้นของการเดินทางอันยิ่งใหญ่ของใครหลายๆคนที่อยากจะมาลองเหยียบที่นี่ดูสักครั้ง

                อุทยานแห่งชาติภูสอยดาวเป็นสถานที่ท่องเที่ยวในอำเภอบ้านโคก จังหวัดอุตรดิตถ์ ที่น้อยคนนักจะรู้จัก และเคยเดินทางไปถึง เหตุผลง่ายๆเพียงเพราะการเดินทางอันแสนยากลำบากในการที่จะเดินเท้าเข้าไปจนพิชิตลานสนที่ระดับความสูง 1,633 เมตร จากน้ำทะเล ซึ่งนับได้ว่าเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดเป็นอันดับ 4 ของประเทศไทย ซึ่งระยะทางการเดินเท้าจากจุดเริ่มต้นจนถึงลานสนนั้นประมาณ 6.5 กิโลเมตร หรือใช้เวลาประมาณ 5-6 ชั่วโมง หรืออาจจะมากน้อยกว่านี้ ก็ต้องขึ้นอยู่กับ ความพร้อมของร่างกายและจิตใจของแต่ละคน หรือถ้าหากใครต้องการจะพิสูจน์กำลังใจหรือรักแท้จากคนรัก สถานที่นี้คงเป็นคำตอบให้ใครหลายๆคนได้อย่างแน่นอน

เพื่อให้สัมผัสและเข้าถึงบรรยากาศการเดินทางสุดโหดของภูสอยดาว ผู้เขียนขอเรียบเรียงประสบการณ์การเดินทางที่ถึงแม้จะสุดโหดแค่ไหน แต่ก็ประทับใจไม่รู้หายผ่านตัวหนังสือต่อจากนี้

                เริ่มต้นการเดินทางครั้งนี้เมื่อรถยนต์จอดหน้าป้ายน้ำตกภูสอยดาว ในเวลาประมาณบ่ายแก่ๆ เนื่องด้วยไม่ได้ศึกษาเส้นทางการรถยนต์จากตัวเมืองอุตรดิตถ์ถึงอำเภอบ้านโคกแห่งนี้ว่าระยะทางนั้นร่วมร้อยกว่ากิโลเมตร จึงใจเย็นคิดว่าคงเดินทางมาถึงประมาณสายๆ เพราะทราบมาบ้างว่าหากมาถึงที่นี่ช้ากว่าบ่ายสอง ทางอุทธยานจะไม่อนุญาตให้เดินทางขึ้นไป เพราะจะถึงลานสนตอนค่ำซึ่งจะอันตรายมาก เสี่ยงต่อการตกเขาหรือหลงทางเพราะทางเดินที่มืด และเสี่ยงต่อสัตว์ป่าที่ออกหากินตอนกลางคืน นั่นทำให้เมื่อมาถึงแล้วต้องรีบออกเดินทางทันที โดยไม่ต้องรีรอเพราะตั้งใจว่าอย่างไรก็ต้องเดินให้ถึงก่อนพระอาทิตย์จะตกดินแน่นอน และด้วยความหยิ่งในศักดิ์ศรีว่าเราแข็งแรง การจ้างลูกหาบจึงดูเป็นอะไรที่จะดูถูกเราอย่างมาก เราจึงขอแบกของทั้งหมดด้วยตัวเราเอง



                การเดินทางในช่วงแรกๆก็เต็มไปด้วยความสนุกสนาน แอบมองนักท่องเที่ยวที่มาเล่นน้ำ แซวกันไปมา อย่างไม่มีทีท่าว่านะเหนื่อยอ่อน แต่เมื่อถึงเนินส่งญาติ ซึ่งเป็นเนินแรกจากห้าเนินที่เราจะต้องข้ามไปให้ได้ คำพูดจากปากก็ต้องเริ่มลดน้อยลง เหลือเพียงลมหายใจแรงๆของความหอบเหนื่อย และอารมณ์ที่อยากจะถอนตัวและเดินกลับ เพราะทางเดินที่เห็นข้างหน้ามีแต่เนินและขั้นบันได หาทางราบได้น้อยเหลือเกิน แต่กำลังใจก็ต้องได้รับการพิสูจน์กันต่อไป ขาทั้งสองข้างที่อยากหยุดพักก็ต้องทำหน้าที่ของมันต่อไปด้วยการก้าวออกไปแบบไม่ต้องคิดผ่านจุดแล้วจุดเล่า ที่ถึงแม้จะได้หยุดพักดื่มน้ำ ได้ก็ทำได้เพียงระยะเวลาสั้นๆเพราะอย่าลืมว่าเราโดนบีบด้วยเวลาของดวงอาทิตย์


เพราะฉะนั้นขาทั้งสองข้างจึงต้องทำหน้าที่ของมันต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ ซึ่งถือว่าเราทำเวลากันได้ดีพอสมควร และระหว่างการเดินเท้าของเรานี้ก็ได้พบน้องๆกลุ่มหนึ่งประมาณ 10 คน ซึ่งเดินขึ้นมาก่อนซักพัก น้องๆดูเหนื่อยอ่อน หยุดพักบ่อย ซึ่งก็ดูเหมือนจะไม่ต่างจากเรามากนัก ทั้งกลุ่มพวกเราและน้องๆจึงได้เพื่อนร่วมเดินทางเพิ่ม ทำให้มีบทสนทนาที่ทำให้เราไม่สนใจกับการก้าวขา แต่เปลี่ยนมาสนใจในการทำความรู้จักกัน ขาของเราจึงก้าวไปโดยไม่ได้สนใจความเหนื่อยล้าของมันมากนัก จนผ่านไปในแต่ละเนิน จากเนินส่งญาติ สู่เนินปราบเซียน เนินป่าก่อ เนินเสือโคร่ง และสุดท้ายที่เนินมรณะ ที่โหดสมชื่อ เพราะน้ำที่เราเตรียมมาเริ่มหมด พลังงานในร่างกายก็เริ่มไม่เพียงพอ สัมภาระที่อุตสาห์แบกขึ้นมากันเองก็หนักขึ้น จนต้องหาของกินในกระเป๋าที่พอจะเพิ่มน้ำตาลในกระแสเลือดได้มากินไปก่อนจะสู้กับเนินแห่งนี้ในเวลาที่พระอาทิตย์กำลังจะลาลับยอดเขาไป แต่ก็ใช่ว่าเนินมรณะจะน่ากลัวอย่างที่คิดเพราะเมื่อได้ขึ้นไปจริงๆ กลับได้พบช่วงเวลาที่แสนพิเศษ ภาพที่สองตามองเห็นจริงๆไม่ใช่แค่เพียงภาพถ่าย สัมผัสได้ถึงคำว่าธรรมชาติ จนไม่มีคำใดๆมาอธิบายความสวยได้


และก็เดินทางมาถึงลานสนอย่างที่ใจหวัง ถึงแม้จะเป็นเวลาที่พระอาทิตย์ตกไปก่อนแล้ว แต่ความภูมิใจในสองขาก็ทำให้เรารู้สึกถึงพลังในตัวเรา หลังจากกางเต็นท์ก็ถึงช่วงเวลาของการทำอาหาร และทานอาหารร่วมกัน ไม่แน่ใจว่าค่ำคืนนี้อาหารรสชาติเป็นอย่างไรกันแน่ แต่ที่แน่ๆการได้ทานอาหารในความรู้สึกแบบนี้มันอร่อยจนบรรยาย ไม่ได้เลยจริงๆ ส่วนดวงดาวที่อยากจะมาหยิบเอื้อมให้ถึงนั้น มันก็ลอยอยู่บนศีรษะเรา ก็แค่เงยหน้าขึ้นมอง ผ่านยอดสน ภาพดวงดาวเหล่านั้นก็จะประทับอยู่กลางใจของพวกเราตลอดไป

สิ่งสำคัญที่ไม่ได้คาดหวังแต่ได้รับเต็มๆจากการเดินทางครั้งนี้ นั้นคือมิตรภาพ ที่รับรองได้ว่ามีเงินมากแค่ไหนก็ซื้อหาสิ่งนี้ไม่ได้อย่างแน่นอน
สุดท้ายขอฝากภาพสวยๆในเช้าวันเดินทางกลับของพวกเรา ที่ไม่ได้ใช้เวลาการเดินทางมากนัก เพราะเป็นทางลาดลง และขอฝากถึงผู้ที่จะไปพิชิตภูสอยดาวในครั้งต่อไปให้เตรียมตัวให้พร้อม ทั้งร่างกาย น้ำ(สำคัญมาก) และสัมภาระต่างๆ เพราะถ้าไปครั้งหน้าผู้เขียนสาบานได้เลยว่าจะไม่แบกของไปเองอีกเป็นอันขาด และแนะนำการเดินทางควรไปในฤดูหนาว หรือปลายฝนต้นหนาว จะเก็บภาพบรรยากาศได้สวยงามกว่านี้

ขอบคุณเพื่อนๆร่วมเดินทาง

ลานสนภูสอยดาวยามเช้า

ภูมิใจไม่รู้หาย

สองขาเท่านั้นที่จะพาเรากลับได้

เพียงแค่หยุดมอง ก็พบความสุข
ดอกหงอนนาคที่จะบานเต็มทุ่งช่วงฤดูหนาว

สุดเขตประเทศไทย ฝั่งนู้นคือลาวนะจ๊ะ